กิจกรรมเบาๆ ที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้ผู้ป่วยมะเร็ง

วันที่ 16-12-2025 | อ่าน : 15


กิจกรรมเบาๆ ที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้ผู้ป่วยมะเร็ง 

ประโยชน์เชิงลึกของการออกกำลังกายเบา ๆ ต่อร่างกายและจิตใจ

การออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องและเหมาะสมมีประโยชน์มากมาย เริ่มจากการต่อสู้กับภาวะอ่อนเพลียที่เกี่ยวข้องกับมะเร็ง (CRF) ซึ่งเป็นอาการที่พบบ่อยและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก การออกกำลังกายจะช่วยปรับปรุงการทำงานของไมโทคอนเดรีย (Mitochondria) ซึ่งเป็นแหล่งผลิตพลังงานของเซลล์ และเพิ่มการไหลเวียนของออกซิเจนและสารอาหารไปยังเนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อ ทำให้ลดความรู้สึกอ่อนล้าได้ดีกว่าการพักผ่อนเฉย ๆ

นอกจากนี้ การออกกำลังกายยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูก การรักษาหลายชนิดอาจทำให้ระดับฮอร์โมนเปลี่ยนไป ส่งผลให้เกิดภาวะกระดูกพรุนและการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ (Sarcopenia) กิจกรรมที่มีการรับน้ำหนักเบา ๆ เช่น การเดิน และการฝึกความแข็งแรงเบา ๆ เช่น การใช้ยางยืดออกกำลังกาย จะช่วยกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อและเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกได้

ในด้านระบบภูมิคุ้มกัน การออกกำลังกายระดับปานกลางช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเซลล์ภูมิคุ้มกัน (เช่น NK Cells และ T Cells) ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันสามารถค้นหาและทำลายเซลล์ที่ผิดปกติได้ดียิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันก็ช่วยควบคุมน้ำหนักและปรับปรุงระบบเมตาบอลิซึม โดยการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและไขมัน ซึ่งมีความสำคัญต่อการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรังอื่น ๆ และอาจลดความเสี่ยงในการกลับมาเป็นซ้ำของมะเร็งบางชนิด

ในมิติทางจิตใจและอารมณ์ การออกกำลังกายเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการจัดการกับภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวล โดยการเพิ่มการหลั่งสารสื่อประสาทที่ทำให้รู้สึกดี (Endorphins และ Serotonin) เพิ่มความรู้สึกของการควบคุมตนเอง (Sense of Control) และเสริมสร้างความมั่นใจในตนเอง

หลักการสำคัญ 3 ประการในการออกกำลังกายอย่างปลอดภัย

การออกกำลังกายในผู้ป่วยมะเร็งต้องเป็นไปตามหลักการที่ปรับให้เหมาะสมอย่างเคร่งครัด

  1. ความถี่ (Frequency): ควรพยายามเคลื่อนไหวทุกวัน หรืออย่างน้อย 3-5 วันต่อสัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายคุ้นชินกับการเคลื่อนไหว
  2. ความหนัก (Intensity): ต้องเป็นระดับ เบาถึงปานกลาง เท่านั้น โดยมี กติกาสำคัญ คือ ต้องสามารถพูดคุยเป็นประโยคได้ขณะทำกิจกรรม หากหายใจติดขัดจนพูดไม่ได้ ถือว่าหนักเกินไปและต้องลดความหนักลงทันที
  3. เวลา (Time): เริ่มจากช่วงเวลาสั้น ๆ เช่น 5-10 นาทีต่อครั้ง และพยายามสะสมให้ได้รวม 30 นาทีต่อวัน (สามารถหยุดพักได้ระหว่างช่วงหากรู้สึกเหนื่อย) และค่อย ๆ เพิ่มระยะเวลาเมื่อร่างกายฟื้นตัว

สิ่งที่ต้องทำก่อนเริ่ม: สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ เพื่อประเมินความพร้อมและกำหนดประเภทกิจกรรมที่เหมาะสมกับชนิดของมะเร็ง ขั้นตอนการรักษา และผลเลือด ณ ขณะนั้น

ประเภทของกิจกรรมเบาๆ ที่แนะนำอย่างละเอียด

1. การเดิน (Walking) – กิจกรรมแอโรบิกที่ทำได้ง่ายที่สุด

การเดินเป็นการออกกำลังกายพื้นฐานที่ร่างกายคุ้นเคย และไม่ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษใด ๆ การเดินช่วยเพิ่มความทนทานของปอดและหัวใจ กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต และช่วยลดความเครียดทางอารมณ์ แนวทางการปฏิบัติ คือ เริ่มจากการเดินช้า ๆ ในระยะทางสั้น ๆ เช่น เดินจากห้องนั่งเล่นไปยังห้องครัว หรือเดินรอบบ้านเพียง 5 นาที เมื่อรู้สึกดีขึ้น ให้เพิ่มระยะเวลาเดินทีละ 1-2 นาทีต่อสัปดาห์ หรือเปลี่ยนไปเดินในสวนสาธารณะที่มีอากาศบริสุทธิ์ การเดินเป็นประจำสามารถช่วยบรรเทาอาการท้องผูกที่อาจเกิดขึ้นจากยาบางชนิดได้ ข้อควรระวัง คือ สวมใส่รองเท้าที่เหมาะสมและมีดอกยางกันลื่น, หลีกเลี่ยงพื้นผิวที่ไม่เรียบ, และพกน้ำดื่มติดตัวเสมอ

2. โยคะบำบัด และการยืดเหยียด (Gentle Yoga & Stretching)

กิจกรรมนี้เน้นการเชื่อมโยงระหว่างการเคลื่อนไหวและการหายใจ ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อต่อและกล้ามเนื้อที่อาจตึงหรือติดขัดจากการผ่าตัดหรือรังสีรักษา ประโยชน์เฉพาะทาง คือ ช่วยคลายภาวะ Lymphoedema (อาการบวมน้ำเหลือง) ในผู้ป่วยที่ผ่าตัดต่อมน้ำเหลือง โดยเฉพาะบริเวณแขนหรือขา ท่าที่แนะนำมักจะเป็นท่าทางไม่ซับซ้อน เช่น ท่าภูเขานั่ง (Seated Mountain Pose) โดยนั่งหลังตรงบนเก้าอี้ เท้าวางราบกับพื้น ค่อย ๆ ชูแขนขึ้นเหนือศีรษะ หายใจเข้าลึก ๆ แล้วผ่อนแขนลงช้า ๆ หรือ การยืดคอเบาๆ (Gentle Neck Stretch) โดยค่อย ๆ เอียงศีรษะไปด้านข้างช้า ๆ โดยไม่ฝืน จากนั้นหมุนไหล่ไปด้านหลังเพื่อคลายความตึง การยืดเหยียดควรทำอย่างนุ่มนวล ไม่กระชาก และค้างไว้ในแต่ละท่าประมาณ 15-30 วินาที

3. ชี่กงและไทชิ (Qi Gong & Tai Chi) – ศิลปะการเคลื่อนไหวเพื่อสมดุล

ชี่กงและไทชิเป็นกิจกรรมที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับว่าช่วยลดความเครียดและความดันโลหิตในผู้ป่วยมะเร็งได้ดี โดยเป็น การฝึกสมาธิในการเคลื่อนไหว (Moving Meditation) เน้นที่การประสานการหายใจกับจังหวะการเคลื่อนไหวที่ช้าและต่อเนื่อง ประโยชน์หลัก คือ เพิ่มสมดุลของร่างกาย (Balance), ลดอาการวิงเวียนศีรษะ, ลดความเสี่ยงในการหกล้ม, และช่วยให้จิตใจสงบและผ่อนคลาย โดยผู้ป่วยสามารถเรียนรู้ท่าพื้นฐานที่ไม่ต้องใช้แรงมากและสามารถทำได้ทั้งแบบยืนหรือนั่งเก้าอี้

4. การฝึกความแข็งแรงด้วยแรงต้านเบา ๆ (Light Resistance Training)

การรักษาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันภาวะทุพโภชนาการที่เกิดจากมะเร็ง ซึ่งทำให้ร่างกายอ่อนแอลงอย่างมาก การฝึกความแข็งแรงเบา ๆ ช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อและเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกได้ เครื่องมือที่แนะนำ ได้แก่ ยางยืดออกกำลังกาย (Resistance Bands) ใช้ในการออกกำลังกายกล้ามเนื้อแขน ขา และลำตัว หรือใช้น้ำหนักเบา ๆ เช่น ขวดน้ำ/กระป๋องอาหาร แทนดัมเบล หรือการใช้น้ำหนักตัว (Bodyweight) เช่น การลุกนั่งจากเก้าอี้ (Chair Squats) และการดันกำแพง (Wall Push-ups)

5. กิจกรรมบำบัดทางน้ำ (Aquatic Therapy)

สำหรับผู้ที่รู้สึกเจ็บปวดบริเวณข้อต่อหรืออ่อนแรงมาก การออกกำลังกายในน้ำอุ่น (สระว่ายน้ำที่สะอาดและอุณหภูมิเหมาะสม) เป็นทางเลือกที่ดี เนื่องจาก แรงพยุงของน้ำ ช่วยลดแรงกระแทกต่อข้อต่อ ทำให้เคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้นและลดความเจ็บปวด ขณะที่ แรงต้านของน้ำ ก็ทำหน้าที่เหมือนอุปกรณ์สร้างแรงต้านตามธรรมชาติ ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อไปพร้อมกัน ข้อควรระวัง คือ ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายในน้ำหากมีแผลเปิดหลังการผ่าตัด หรือมีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำมากจนเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

การจัดการผลข้างเคียงเฉพาะด้วยการเคลื่อนไหว

การออกกำลังกายที่เฉพาะเจาะจงสามารถช่วยจัดการกับผลข้างเคียงบางอย่างได้:

  • สำหรับผู้ที่มีภาวะอ่อนเพลียเรื้อรัง (CRF): ควรแบ่งการออกกำลังกายเป็นช่วงสั้น ๆ เช่น 5 นาที หลายครั้งต่อวัน แทนที่จะทำครั้งเดียวยาวนาน
  • สำหรับผู้ที่มีความวิตกกังวล/ซึมเศร้า: ควรเลือกทำกิจกรรมที่เน้นการหายใจและการผ่อนคลาย เช่น โยคะ หรือ ชี่กง ในสภาพแวดล้อมที่สงบ เช่น สวนสาธารณะ
  • สำหรับผู้ที่มีอาการบวมน้ำเหลือง (Lymphoedema): ควรปรึกษาและทำกิจกรรมภายใต้คำแนะนำของนักกายภาพบำบัดเฉพาะทาง โดยอาจเน้นการออกกำลังกายแขนขาในน้ำ หรือการยืดเหยียดที่เน้นการไหลเวียน
  • สำหรับผู้ที่มีปลายประสาทอักเสบ (Neuropathy): ควรเน้นการฝึกความสมดุล (Balance Training) เช่น การยืนขาเดียวโดยมีที่จับ หรือการเดินบนพื้นผิวที่ปลอดภัย เพื่อลดความเสี่ยงในการหกล้ม

ข้อควรระวังพิเศษสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง:

  • ผู้ป่วยที่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำหรือเม็ดเลือดขาวต่ำมาก: ต้องหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บเล็กน้อย (ซึ่งอาจนำไปสู่การเลือดออกหรือติดเชื้อ)
  • ผู้ป่วยที่มีการแพร่กระจายของมะเร็งไปที่กระดูก (Bone Metastases): ต้องหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีแรงกระแทกสูง การยกน้ำหนักมาก หรือการบิดตัวที่รุนแรง เพื่อป้องกันกระดูกหัก ควรเน้นการเคลื่อนไหวที่ไม่ลงน้ำหนักมาก
  • หากรู้สึกมีไข้, เจ็บปวดผิดปกติ, เวียนศีรษะ, หรือหายใจลำบาก: ต้องหยุดกิจกรรมทันทีและแจ้งให้แพทย์ทราบ

การออกกำลังกายที่เหมาะสมไม่ได้เป็นเพียงการพักผ่อนหย่อนใจ แต่เป็นส่วนหนึ่งของ "แผนการรักษา" ที่ช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งสามารถจัดการกับผลข้างเคียงต่าง ๆ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง การเริ่มต้นเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยกิจกรรมเบา ๆ ที่สม่ำเสมอ คือก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ โปรดจำไว้เสมอว่า การออกกำลังกายที่ดีที่สุดคือการออกกำลังกายที่คุณทำได้อย่างต่อเนื่องและได้รับอนุญาตจากแพทย์ผู้รักษา

 

สำหรับคนที่กำลังมองหาทางเลือกในการดูแลสุขภาพ ยาน้ำเทียนเซียน คือ ยาตามองค์ความรู้ของแพทย์แผนจีนที่ประกอบไปด้วยสมุนไพร 14 ชนิด มีสรรพคุณในการขับร้อนถอนพิษ บำรุงร่างกาย และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทั้งในผู้ป่วยโรคมะเร็งและผู้ที่ต้องการดูแลตัวเอง โดยยาน้ำเทียนเซียนได้ผ่านการวิจัยและพัฒนาจากสถาบันวิจัยยาฉางไป๋ซาน ใช้เทคโนโลยีการผลิตมาตรฐาน GMP และถูกรับรองโดย US FDA ให้เป็นอาหารเสริมที่ปลอดภัยและมีประโยชน์ต่อร่างกาย

การส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยยาน้ำจากสมุนไพรจีนธรรมชาติ สามารถสั่งซื้อได้เลยที่ LINE : @tianxian

 

หากมีปัญหาสุขภาพผู้ป่วยมะเร็ง เราคืออีกหนึ่งทางออก ที่จะช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตปกติได้อีกครั้ง ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ โปรดคลิก inbox Facebook ชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็ง

การดูแลผู้ป่วยมะเร็ง
การรักษาผู้ป่วยมะเร็ง
ความรู้มะเร็ง

ชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็งแห่งประเทศไทย 213/5 อาคารอโศกทาวเวอร์ ชั้น 6 ถ.สุขุมวิท 21(อโศก) แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 1011

Copyright © 2021 www.siamca.com ขอสงวนสิทธิ์ ในการนำรูปภาพ หรือ ข้อความในเว็บไซต์ ไปเผยแพร่ หรือ ทำซ้ำ จะต้องได้รับการอนุญาตก่อนจึงจะกระทำได้