จัดการกับอาการท้องเสียหรือท้องผูกในผู้ป่วยมะเร็ง

วันที่ 27-10-2025 | อ่าน : 8

จัดการกับอาการท้องเสียหรือท้องผูกในผู้ป่วยมะเร็ง

ผลกระทบของการรักษามะเร็งต่อระบบขับถ่าย

การรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น เคมีบำบัด (Chemotherapy), รังสีรักษา (Radiation Therapy) (โดยเฉพาะบริเวณช่องท้อง), หรือการใช้ยาบางชนิด (เช่น ยาแก้ปวดกลุ่มโอปิออยด์) มักส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินอาหารของผู้ป่วย ทำให้เกิดความไม่สมดุลของระบบขับถ่าย อาการที่พบบ่อยคือ ท้องผูก (Constipation) และ ท้องเสีย (Diarrhea)

ท้องผูก: มักเกิดจากการเคลื่อนไหวร่างกายน้อยลง, การดื่มน้ำไม่เพียงพอ, การรับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย, หรือผลข้างเคียงจากยา
ท้องเสีย: เกิดจากการที่เซลล์ในลำไส้ถูกทำลายจากเคมีบำบัดหรือรังสีรักษา, การเปลี่ยนแปลงของแบคทีเรียในลำไส้, หรือการดูดซึมอาหารผิดปกติ

ความไม่สมดุลเหล่านี้ส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่สบายตัว และอาจกระทบต่อการรับประทานอาหารและการได้รับสารอาหารที่เพียงพอ

การปรับอาหารเพื่อจัดการกับอาการท้องเสีย

เมื่อมีอาการท้องเสีย ผู้ป่วยควรเน้นการรับประทานอาหารที่ช่วยให้ลำไส้ได้พักและทำให้อุจจาระจับตัวเป็นก้อนมากขึ้น พร้อมทั้งต้องทดแทนการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ที่สำคัญ

เน้นอาหารอ่อน ย่อยง่าย: ควรเลือกอาหารที่ไม่กระตุ้นการทำงานของลำไส้มากนัก เช่น ข้าวต้ม, โจ๊ก, ขนมปังขาว, มันฝรั่งต้มหรือบด, กล้วยหอม, และแอปเปิลซอส ในช่วงนี้ควร จำกัด การรับประทานผักและผลไม้สดที่มีกากใยสูง, ธัญพืชไม่ขัดสี, และถั่วเมล็ดแห้ง
หลีกเลี่ยงอาหารกระตุ้นลำไส้: ควรงดอาหารที่มีไขมันสูง, อาหารทอด, อาหารรสจัด, อาหารที่มีน้ำตาลสูง, รวมถึงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้อาการแย่ลง
ทดแทนน้ำและเกลือแร่: สิ่งสำคัญที่สุดคือการป้องกันภาวะขาดน้ำ ควรจิบน้ำเปล่า, น้ำซุปใส, น้ำข้าว, หรือ น้ำเกลือแร่ (ORS) ตลอดทั้งวัน
ผลิตภัณฑ์นม: หากท้องเสียรุนแรงและสงสัยว่าอาจมีภาวะย่อยแลคโตสได้ยาก ควรจำกัดหรือเลี่ยงผลิตภัณฑ์นมที่มีแลคโตส

การปรับอาหารเพื่อจัดการกับอาการท้องผูก

เมื่อมีอาการท้องผูก ผู้ป่วยควรปรับอาหารเพื่อเพิ่มกากใย (Fiber) และดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อช่วยให้อุจจาระอ่อนนุ่มและกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้

เพิ่มกากใยอาหารอย่างช้า ๆ: การเพิ่มกากใยมากเกินไปในครั้งเดียวอาจทำให้ท้องอืด ควรค่อย ๆ เพิ่มการรับประทานผักใบเขียว, ผลไม้ที่มีเปลือก (เช่น แอปเปิล, ลูกแพร์), ลูกพรุน, ลูกเกด, ข้าวกล้อง หรือข้าวโอ๊ต
การดื่มน้ำคือหัวใจสำคัญ: น้ำเปล่าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการช่วยให้กากใยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในการเพิ่มปริมาณอุจจาระ ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน หรือตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
ใช้ตัวช่วยจากธรรมชาติ: น้ำผลไม้บางชนิด เช่น น้ำพรุน หรือ น้ำลูกแพร์ สามารถช่วยกระตุ้นการขับถ่ายได้
เสริมโพรไบโอติก: โยเกิร์ต หรือ นมเปรี้ยวที่มีโพรไบโอติกอาจช่วยเสริมสร้างสมดุลของแบคทีเรียที่ดีในลำไส้

การรักษาสมดุลของระบบทางเดินอาหารในระยะยาว

การจัดการอาการเฉพาะหน้าเป็นสิ่งสำคัญ แต่ผู้ป่วยมะเร็งควรให้ความสำคัญกับการรักษาสุขภาพของระบบทางเดินอาหารโดยรวมอย่างต่อเนื่องด้วย:

โภชนาการที่ครบถ้วนสมดุล: รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงานและสารอาหารที่จำเป็นต่อการฟื้นฟูซ่อมแซม
การเคลื่อนไหวร่างกายเบา ๆ: หากร่างกายอนุญาต ควรพยายามเดินเบา ๆ หรือออกกำลังกายเบา ๆ เพื่อกระตุ้นการทำงานของลำไส้และระบบขับถ่าย
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หากอาการท้องเสียหรือท้องผูกไม่ดีขึ้นหรือไม่ตอบสนองต่อการปรับอาหาร ควรปรึกษาแพทย์หรือนักกำหนดอาหารที่เชี่ยวชาญด้านมะเร็ง เพื่อรับคำแนะนำเฉพาะบุคคล หรืออาจต้องพิจารณาการใช้ยาหรืออาหารเสริมที่เหมาะสม

การจัดการกับอาการท้องเสียและท้องผูกในผู้ป่วยมะเร็งอย่างมีประสิทธิภาพผ่านการปรับอาหารที่เหมาะสม จะช่วยให้ผู้ป่วยลดความไม่สบายตัว ได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระหว่างการรักษาและการฟื้นตัว

สำหรับคนที่กำลังมองหาทางเลือกในการดูแลสุขภาพ ยาน้ำเทียนเซียน คือ ยาตามองค์ความรู้ของแพทย์แผนจีนที่ประกอบไปด้วยสมุนไพร 14 ชนิด มีสรรพคุณในการขับร้อนถอนพิษ บำรุงร่างกาย และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทั้งในผู้ป่วยโรคมะเร็งและผู้ที่ต้องการดูแลตัวเอง โดยยาน้ำเทียนเซียนได้ผ่านการวิจัยและพัฒนาจากสถาบันวิจัยยาฉางไป๋ซาน ใช้เทคโนโลยีการผลิตมาตรฐาน GMP และถูกรับรองโดย US FDA ให้เป็นอาหารเสริมที่ปลอดภัยและมีประโยชน์ต่อร่างกาย

การส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยยาน้ำจากสมุนไพรจีนธรรมชาติ สามารถสั่งซื้อได้เลยที่ LINE : @tianxian

หากมีปัญหาสุขภาพผู้ป่วยมะเร็ง เราคืออีกหนึ่งทางออก ที่จะช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตปกติได้อีกครั้ง ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ โปรดคลิก inbox Facebook ชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็ง