คนเจ็บไข้ผู้โชคดี

วันที่ 31-05-2010 | อ่าน : 6806


คนเจ็บไข้ผู้โชคดี
โดย  นพ. จักรพงศ์  ไพบูลย์

 

 

\"\"

 

       คนทุกคนมีโอกาสเจ็บป่วยอยู่แล้ว  เมื่อเราเจอความเจ็บป่วยอันยิ่งใหญ่ที่เปลี่ยนชีวิตดีๆ ให้เป็นคนพิการ  หรือเป็นความเจ็บป่วยที่จะต้องคร่าชีวิตไปในเวลาไม่นาน  ไม่ว่าความเจ็บป่วยนั้นจะเกิดกับเราเอง  หรือเกิดกับผู้ที่เรารักอย่างที่สุด   เช่น บุตร  สามี  ภรรยา  คุณพ่อ  หรือ  คุณแม่  ล้วนเป็นความทุกข์  ไม่มีอะไรที่จะช่วยได้  บางท่านไม่มีทางออก  ถึงกับต้องฆ่าตัวตายไปก็มี  เพราะเขาไม่รู้ว่าการฆ่าตัวตายนั้นไม่ใช่ทางออก  แต่จะเพิ่มพูนผลกรรม   ทำให้ต้องรับกรรมซ้ำๆ ไม่มีวันจบสิ้น   เขามองไม่เห็นว่า  ความเจ็บไข้ได้ป่วยมีโชคดีอยู่ในนั้นจริงๆ ถ้าได้มีโอกาสศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมอันล้ำค่าของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ยิ่งป่วยมาก ก็ยิ่งมีโชคมาก เพราะจะมีกำลังใจทำดีได้มาก

       คนเจ็บไข้ได้ป่วยนับเป็นโชคดีอย่างยิ่ง  เพียงแต่ว่าตัวเขาเองยังหาไม่พบว่าเขาโชคดีได้อย่างไร  จากการเจ็บไข้ได้ป่วยนี้ การเกิด  แก่  เจ็บ  ตาย  เป็นเรื่องธรรมดา  เรื่องทั้งสี่อย่างนี้เป็นความทุกข์  การที่เราได้ประสบทั้งสี่อย่างก็นับว่าเป็นโชคดีได้เหมือนกัน  เพราะเราจะได้ครบตามธรรมชาติที่ควรจะเป็น   เพราะบางคนเกิดแล้วก็ตายเลยหรือตายแต่เด็ก ไม่มีโอกาสได้เติบโตบางคนโตมาได้จนแก่  แต่แล้วก็ตายเลยไม่มีโอกาสได้เจ็บป่วยก่อน  ทำให้ไม่สามารถเตรียมตัวเตรียมใจได้ทันก่อนที่จะตาย   แต่บางคนมีโอกาสได้เติบโต  เจริญวัย  จนแก่เฒ่า  ได้เจ็บป่วย  มีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจอย่างมาก แล้วจึงตาย

       คนเจ็บไข้เป็นผู้โชคดี ประการแรกเพราะเขาได้เห็นทุกข์  การเห็นความทุกข์เป็นหนึ่งในอริยสัจสี่ที่พระพุทธองค์ทรงพบ  คนจำนวนมากไม่เห็นความทุกข์  อาจเห็นนิดหน่อยแล้วก็หลีกหนีไม่นานก็ลืมเลือนไป  โดยทั่วไปคนเราจะเห็นแต่ความสุขหลงใหลในความสุข  เพราะเราไม่มีโอกาสได้เจอความทุกข์ใหญ่ๆ  แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม  เมื่อถึงเวลาทุกข์ใหญ่ๆ เราก็ต้องเจอ  แต่พอเวลานั้นมาถึงจริงๆ บางทีเราเตรียมตัวไม่ทันเสียแล้ว เมื่อคนเราทั่วไปไม่เห็นทุกข์  ก็ไม่มีการคิดหาทางให้พ้นทุกข์จึงไม่ได้ทำความดีเท่าที่ควรจะเป็น  จึงเสียเปรียบกว่าผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วยและยังมีเวลามีเรี่ยวแรงพอจะได้สร้างความดี  เพราะเขาเหล่านั้นได้ประสบทุกข์  ได้เห็นทุกข์อย่างลึกซึ้งแท้จริง   จึงเป็นความโชคดีของผู้เจ็บไข้เพราะผู้ที่เห็นทุกข์  จึงจะทำความดีและหาทางพ้นทุกข์ได้อย่างดีกว่าคนธรรมดาทั่วไป

       คนเจ็บไข้จะยิ่งเป็นผู้โชคดีมากขึ้นไปอีก ถ้าเขาเจ็บหนักจนใกล้กับความตาย  บางคนจะประมาณระยะเวลาได้ด้วยว่าเมื่อไรจะตาย  จะอยู่ได้อีกประมาณเท่าไร  โดยทั่วไปเมื่อเรารู้วันตายหรือใกล้จะตาย มักจะมีสองอย่างเกิดขึ้น   ประการแรก  คือ  ทุกข์  ประการที่สอง คือ ปลง  แต่การปลงยังมีปลงอย่างเศร้าสร้อยและปลงอย่างเบิกบานด้วยความปล่อยวาง   ทั้งนี้ขึ้นกับจิตใจที่จะพัฒนาต่อไป ความทุกข์จากการใกล้ความตายจะแนบแน่นและลึกซึ้งมากกว่าการป่วยเล็กน้อยที่รู้ว่าไม่นานก็หาย   คนป่วยที่รู้ว่าจะต้องตายจะมีความทุกข์  เห็นความทุกข์มากกว่า  มีทั้งกลัวการตายกลัวว่าอาจจะเจ็บปวด  ทรมาน  กลัวว่าหลังจากตายจะไปเจอกับอะไรก็ไม่รู้  กลัวในการที่จะต้องจากญาติมิตรที่รักของเราไป  กลัวพลัดพรากจากของรักทั้งปวง  ยังกลัวเผื่อแผ่ไปยังคนอื่นด้วย  คือ กลัวว่าญาติมิตร  บุตร ธิดา ของเราจะเสียใจ  เมื่อตัวเราต้องตายไปญาติเหล่านี้อาจจะลำบากมากขึ้น  ไม่มีใครส่งเสีย เป็นต้น

      จะเห็นได้ว่าความเจ็บไข้ได้ป่วยมีความทุกข์มากมายถึงเพียงนี้  เมื่อเทียบกับช่วงเวลาที่เรายังไม่ได้ป่วย  แทบจะเทียบความทุกข์กันไม่ได้เลย  จะทำอย่างไรกับความทุกข์เหล่านี้ดี จะสู้ หรือ จะหนี   คำตอบนี้ไม่มีใครสอนได้ดีที่สุดเท่ากับ    พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงสอนสั้นๆ ว่า ทุกข์ไม่ใช่ของต้องสู้หรือต้องหนี ทุกข์มีไว้แค่กำหนดรู้ คือกำหนดรู้เท่านั้นอย่าไปเจริญ  หมายความว่าอย่าไปทำให้มันมากขึ้น ด้วยการปรุงแต่ง  ด้วยการคิดวนเวียนในความทุกข์  เพราะ  สิ่งที่ควรเจริญหรือกระทำให้มาก คือ มรรค ทางแห่งความพ้นทุกข์  อย่าลืมว่าทุกข์มีไว้เพื่อให้กำหนดรู้  กำหนดรู้เท่านั้น  อย่าไปเจริญเมื่อรู้ว่าทุกข์  ก็รู้และปล่อยวางไป ไม่สนใจ

 


   

 

หากมีปัญหาสุขภาพผู้ป่วยมะเร็ง เราคืออีกหนึ่งทางออก ที่จะช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตปกติได้อีกครั้ง ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ โปรดคลิก inbox Facebook ชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็ง

อาหารผู้ป่วยมะเร็ง
การดูแลผู้ป่วยมะเร็ง
การรักษาผู้ป่วยมะเร็ง

ชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็งแห่งประเทศไทย 213/5 อาคารอโศกทาวเวอร์ ชั้น 6 ถ.สุขุมวิท 21(อโศก) แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 1011

Copyright © 2021 www.siamca.com ขอสงวนสิทธิ์ ในการนำรูปภาพ หรือ ข้อความในเว็บไซต์ ไปเผยแพร่ หรือ ทำซ้ำ จะต้องได้รับการอนุญาตก่อนจึงจะกระทำได้